วิกฤตโควิดในอินเดียเกี่ยวข้องกับคนทั้งโลกอย่างไร

ภาพคนอินเดียจำนวนมากกำลังล้มตายจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สองในอินเดีย ได้สร้างความตกตะลึงและสลดใจให้คนทั่วโลก
ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ของอินเดียทะลุหลัก 200,000 คนแล้ว โดยสูงเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐฯ บราซิล และเม็กซิโก แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้ เพราะพบกรณีผู้เสียชีวิตจากโควิดหลายคนไม่ได้ถูกนับรวมเข้าไปในตัวเลขของทางการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
วิกฤตครั้งนี้ทำให้เจ้าหน้าที่สุสานและฌาปนสถานต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ฌาปนสถานหลายแห่งเผาศพไม่ทันจนต้องสร้างที่เผาศพชั่วคราวขึ้นเพื่อรองรับกับศพที่หลั่งไหลเข้าไปจำนวนมาก

เชื้อกลายพันธุ์
นอกจากอินเดียจะมีอัตราการติดเชื้อสูงแล้ว ก็ยังมีอีกปัจจัยที่น่ากังวล นั่นคือเชื้อกลายพันธุ์
เชื้อโรคโควิด-19 ที่กลายพันธุ์ชนิดใหม่ในอินเดีย เรียกว่า B.1.617 ถูกเรียกว่า “การกลายพันธุ์คู่” (double mutant) เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 ตำแหน่งที่โปรตีนหนามของไวรัส
หลักฐานจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นบ่งชี้ว่าเชื้อกลายพันธุ์ชนิดนี้ติดต่อได้ง่ายขึ้น และอาจทำให้แอนติบอดี หรือสารภูมิต้านทานสกัดกั้นเชื้อไวรัสได้ยากขึ้น
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาว่าเชื้อกลายพันธุ์ชนิดนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างไรบ้าง
ดร.เจฟฟ์ บาร์เรตต์ ผู้อำนวยการโครงการศึกษาจีโนมของเชื้อโรคโควิด-19 (Covid-19 Genomics Initiative) แห่งสถาบันเวลคัม แซงเงอร์ (Wellcome Sanger Institute) ในสหราชอาณาจักร ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า “ผมคิดว่าเราต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แต่ขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลที่ต้องตื่นตระหนกกับมัน”
แต่ยิ่งจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ในอินเดียเพิ่มขึ้นเท่าใด โอกาสที่จะเกิดเชื้อกลายพันธุ์ชนิดใหม่ ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะการติดเชื้อแต่ละครั้งเพิ่มโอกาสที่เชื้อจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และความกังวลหลักของนักวิทยาศาสตร์ก็คือการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอาจเพิ่มโอกาสที่วัคซีนในปัจจุบันจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ศาสตราจารย์ชารอน พีคอก ผู้อำนวยการกลุ่มศึกษาจีโนมเชื้อโรคโควิด-19 แห่งสหราชอาณาจักร (Covid-19 Genomics UK consortium หรือ Cog-UK) อธิบายว่า “การจำกัดการอุบัติของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ตั้งแต่ต้นก็คือการป้องกันไม่ให้เชื้อเพิ่มจำนวนในร่างกายของเรา…ดังนั้นวิธีการดีที่สุดในการควบคุมเชื้อกลายพันธุ์คือการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลก
มาตรการล็อกดาวน์ การเว้นระยะห่างทางสังคม สามารถช่วยได้ แต่การให้วัคซีนก็เป็นสิ่งสำคัญ
โครงการให้วัคซีนต้านโควิด-19 ของอินเดียดำเนินไปอย่างเชื่องช้า โดยมีประชากรไม่ถึง 10% ที่ได้รับวัคซีนโดสแรก และมีไม่ถึง 2% ที่ได้วัคซีนครบทั้งสองโดส
ปัญหานี้เกิดขึ้นทั้งที่อินเดียเป็นที่ตั้งของ “สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย”(Serum Institute of India) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยเหตุนี้ วิกฤตโควิดในอินเดียจึงจะส่งผลต่อคนทั้งโลก

กระทบโครงการให้วัคซีน
ตอนที่อัตราการติดเชื้อในอินเดียเริ่มสูงขึ้นในเดือน มี.ค. ทางการอินเดียได้ระงับการส่งออกวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไปยังต่างประเทศ
มาตรการดังกล่าวส่งผลต่อการส่งมอบวัคซีนให้โครงการโคแวกซ์ (Covax) ของสหประชาชาติที่จัดหาวัคซีนให้ประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางและต่ำ โดยเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา องค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีนและภูมิคุ้มกัน (Global Alliance for Vaccines and Immunizations หรือ GAVI) ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในโครงการโคแวกซ์ ระบุว่า กำลังรอคำตอบว่าอินเดียจะกลับมาส่งมอบวัคซีนให้เมื่อใด
นี่จึงส่งผลกระทบต่อโครงการให้วัคซีนต้านโควิด-19 ในหลายประเทศ แต่ก็หมายความว่าวัคซีนที่อินเดียมีอยู่จะถูกนำไปฉีดให้แก่ประชาชนในประเทศ ในขณะเดียวกันก็พยายามเร่งการผลิตให้ได้มากขึ้น